เคลือบแก้วรถยนต์ดีอย่างไร? ต่างจากเคลือบสีธรรมดาอย่างไร?


เคลือบแก้ว (Glass Coating) เรามาทำความรู้จักกับคำนี้กันก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกรถมาใหม่ แน่นอนคุณจะต้องศึกษา และค้นหาข้อมูลการ เคลือบแก้ว มาว่าคุณจะนำรถไปเคลือบมันดีไหม? ส่วนรถใครที่มีอายุการใช้งานแล้วอยากจะเคลือบแก้วบ้าง จะทำได้ไหม?


ทำความรู้จักกับ เคลือบแก้วก่อนว่าคืออะไร?

      เคลือบแก้ว (Glass Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีรถเปรียบเสมือนกระจกใสที่มีคุณสมบัติแข็งและสามารถเพิ่มความหนาของพื้นผิวสีตัวถังรถยนต์บนชั้นClear Lacquer จะมีระดับความหนาของชั้นเคลือบที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่ระดับ 1-9 H โดยสารที่ใช้ในการทำเคลือบแก้วมักมีส่วนผสมของสาร Silica หรือ Polysilazane โดยเคลือบแก้วในท้องตลาดนั้นมีหลายระดับ หลายราคา หลายคุณภาพ สารที่ใช้ผสมที่แตกต่างกัน การบริการ ดังนั้นจึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเคลือบแก้วจากผู้ใช้รถว่า

1. ประโยชน์ที่ได้รับจากการเคลือบแก้วดีอย่างไร

2. เคลือบแก้ว ต่างจากการเคลือบสีธรรมดาอย่างไร

3. อาศัยปัจจัยอะไร ใช้ในการตัดสินใจเลือกใช้ บริการร้านเคลือบแก้ว?


เริ่มจากประโยชน์ของ เคลือบแก้ว (Glass Coating) กันเลย

1. ให้ความคงทนความเงางามของสีรถด้วยชั้นเคลือบแก้ว ที่เปรียบเสมือนกระจกทำให้เกิดความเงางามของสีรถ

2. การเคลือบแก้ว ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันรถ ซึ่งอาจมีผลให้สีของตัวถังรถยนต์ซีดหมอง ส่งผลให้สีรถจะคงทนและคงสภาพอยู่กับเราได้นานขึ้น

3. ช่วยป้องกันการเกิดรอยขนแมว รอยขีดข่วน ได้มากกว่าปกติ บางคนเข้าใจผิดว่าไปเคลือบมาแล้ว รถต้องไม่เป็นรอยเวลาโดนเฉี่ยว โดนสะเก็ดหิน หรือกิ่งไม้เกี่ยว มีโอกาสเป็นรอยได้ แต่ยากกว่าปกติมากหน่อยเท่านั้นเอง  ทางผู้ให้บริการถึงต้องมีบริการเสริม 2 เดือน  6 เดือน แล้วแต่ให้เข้าไปเช็คสภาพ

4. ลดการเกิดรอยด่างบนสีตัวถังรถยนต์ที่อาจเกิดจากคราบมูลนก ยางไม้ หรือ ยางมะตอย ทำให้สีตัวถังรถยนต์ยังคงความใสและเงางามอยู่อย่างต่อเนื่อง

5. มีคุณสมบัติลื่นต่อน้ำทำให้คราบสกปรกต่าง ๆ ที่เกาะติดอยู่บนตัวถังถูกชำระด้วยน้ำฝนอย่างง่ายดาย และสามารถรักษาคุณสมบัตินี้ได้ยาวนาน


เคลือบแก้ว ต่างจากการเคลือบสีธรรมดาอย่างไร
หากจะพูดง่ายๆ คือ การเคลือบสีผิวรถระยะสั้นกับระยะยาว การเคลือบสีปกติก็เสมือนการเคลือบสีระยะสั้น และการเคลือบแก้วเปรียบเสมือนการเคลือบสีระยะยาว โดยการเคลือบสีทั้ง 2 แบบนั้น จะช่วยดูแลสีรถ และทำให้รถดูเงางานเหมือนกันแต่สิ่งที่แตกต่างคือ
เคลือบแก้ว ( glass coating ) จะได้เรื่องความทนทานของชั้นผิวที่เคลือบมากกว่า มีคุณสมบัติการลื่นต่อน้ำยาวนานกว่า ส่งผลให้การเกิดคราบ รอยขนแมว รอยขีดข่วน มีโอกาสเกิดน้อยกว่า และอีกส่วนจะเป็นเรื่องความเงางานที่สูงกว่าเนื่องจากชั้น silica ที่เปรียบเสมือนชั้นกระจกทำให้สีดูเงาสดใสคงทนมากกว่า แต่ขอเสียของเคลือบแก้ว คงเป็นเรื่องราคาที่สูง ถ้าหากท่านต้องการแค่จะชะลอการเสื่อมของสีรถ ไม่ว่าจะเป็นเคลือบสีธรรมดา หรือเคลือบแก้วต่างก็ช่วยท่านได้


 ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกใช้ผู้ให้บริการหรือร้านเคลือบแก้ว

1. ราคาและคุณภาพผลิตภัณฑ์

         การให้เคลือบแก้วปัจจุบันมีตั้งแต่ราคาหลักร้อย หลักพัน ถึงหลักหมื่น หลักแสน แล้วอะไรหล่ะคือราคาที่แท้จริง ถูกเกินไป หรือ แพงเกินไป จะน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การใช้ราคาเป็นเกณฑ์ตัดสินคงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เราควรจะพิจารณาเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์ ความคงทนของเคลือบแก้ว การบริการก่อน และหลังการขาย ควบคู่กันไปด้วย ว่ามันคุ้มกับราคานั้นหรือไม่ เพราะหากราคาถูก แต่คุณภาพไม่ดี สุดท้ายเราอาจจะต้องเสียเงินมากกว่าเดิมก็เป็นไปได้

โดยปกติแล้วหากน้ำยาดีมีคุณภาพ ก็อาจจะมีราคาแพงเป็นธรรมดา เพราะ“ของดี ราคาถูก” คงไม่มี จะมีก็แต่ “ของดี ราคาสมเหตุสมผล” แต่ก็ควรระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะบางที่อาจตั้งราคาให้สูง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ซึ่งในความเป็นจริง แล้วอาจใช้ของที่ไม่มีคุณภาพ ฉะนั้นเราควรสังเกตด้วยว่าน้ำยาที่ใช้เคลือบเป็นของอะไร โดยน้ำยาที่ดีจะต้องเป็นผู้ผลิตที่มีตัวตนชัดเจน หรือ มี Reference ผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ เพราะสมัยนี้ของปลอมมันเยอะมาก

 นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบดูให้ดีด้วยว่า ร้านที่เราไปทำเป็นการเคลือบแก้วหรือแค่เคลือบสีธรรมดา โดยทั่วไปแล้ว การเคลือบแก้วจะมีราคาค่าบริการสูงกว่าการเคลือบสีทั่วไป เพราะการเคลือบแก้วนั้น มีรายละเอียดขั้นตอนมากกว่าการเคลือบสีทั่วไปอย่างมาก และจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ การเคลือบแก้วจะมีราคาเท่าหรือสูงกว่าเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเคลือบสีทั่วไป

 2. คุณสมบัติของสารที่ใช้ทำเคลือบแก้ว

       การทำเคลือบแก้วนั้นเราไม่ได้ดูกันที่ความหนาว่ากี่ไมครอน แต่เราดูที่ความแข็งแกรงของสารที่นำมาใช้ มีทั้ง สารซิลีก้า (Si) , Polysilazane และ Sio2 เป็นต้น โดยสิ่งที่ควรสอบถามทางร้านว่า สารที่นำมาใช้มีค่าความแข็งแกรงเท่าไร ถ้าของที่มีคุณภาพจะมีค่าความแข็งแกรงสูงสุดที่ 9H

นอกจากเรื่องความแข็งแกรงแล้วยังต้องดูคุณสมบัติเรื่องการปกป้องสีแท้ของรถจากแสงแดดว่าสารดังกล่าวปกป้องสีจากแดดรึเปล่าหรือเพียงแค่เคลือบชั้นผิวสีเฉยๆ ต้องสอบหาหรือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ใช้ทำเคลือบแก้วว่าช่วยลดการเกิดรอยด่างบนสีตัวถังรถยนต์ที่อาจเกิดจากคราบมูลนก ยางไม้ หรือ ยางมะตอย ได้หรือไม่ แค่เพียงเท่านี้ก็มั่นใจว่าสารดังกล่าวจะสามารถปกป้องรถที่ท่านรักได้อย่างแน่นอน

 3. ความน่าเชื่อถือ 

        หากท่านค้นหาใน internet ท่านจะพบว่ามีผู้ให้บริการเคลือบแก้วมากมาย หลากหลายราคา แล้วท่านจะไว้วางใจให้รถที่ท่านรัก เงินที่ท่านเสียกับผู้ให้บริการเจ้าไหนดี ดังนั้นความน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งสำคัญอีกประการ ดังนั้นเราควรต้องพิจารณาดูเรื่อง


  1.  ความมั่นคงของสถานที่ให้บริการ ว่ามีหลักแหล่งเลื่อนลอยเปิดแล้วปิดบ่อย หากเกิดความเสียหายจะรับผิดชอบได้หรือไม่
  2. ผลงานที่ผ่านมาว่าผู้ให้บริการ มีประสบการมากแค่ไหน
  3. ดูการตอบรับจากลูกค้า ของผู้ให้บริการว่าเป็นอย่างไร
  4. อยู่ในรูปแบบบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ที่มีบริษัทที่มั่นคงหรือไม่ มีหลายสาขารองรับบริการหรือไม่


4. บริการหลังการขาย และการรับประกัน

        หลังเคลือบแก้วแล้ว ทุกคนย่อมอยากให้รถของเรานั้นเงางามอยู่เสมอ ดังนั้นสี่งที่ต้องคำนึงถึง คือการบริการหลังการขาย เช่น การบำรุงรักษาในทุกๆ 6 เดือน เป็นต้น รวมถึงควรดูเรื่องระยะเวลาการรับประกัน เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่สามารถการันตีได้ว่า เคลือบแก้วของทางร้านนั้นมีคุณภาพจริงหรือไม่

สิ่งสำคัญการรับประกันให้สามารถนำรถเข้ามาตรวจสอบซ่อมแซมเคลือบแก้วทุก 6 เดือนนั้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะอาจมีค่าใช้จ่ายแฝง จึงต้องมีรู้เงื่อนไขรับประกันให้ชัดเจน หากเป็นศูนย์บริการมาตรฐานมักแถมการดูแลล้างฟรีตามจำนวนครั้งและระยะเวลา

 ฉะนั้นหากพิจารณาเลือกทำเคลือบแก้วให้กับรถที่เรารักสักครั้ง ควรจะพิจารณาตามปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมา รวมถึงความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงของแบรนด์เป็นหลักด้วย เพราะหากเราซื้อเคลือบแก้วทีละ 3-5 ปี ถ้าทางร้านนั้นปิดกิจการไปก็แน่นอนว่าเราก็ต้องทิ้งเงินไปโดยใช่เหตุ

หลัก 4 ประการนี้ อาจเป็นข้อมูลการพิจารณา และหวังว่าท่านจะได้รับจากศูนย์บริการเคลือบแก้วที่มีประสิทธิภาพและการบริการที่ดี เพื่อให้รถที่ท่านรักสวยงามตลอดไป