วิธีถนอมและตรวจเช็คแอร์รถยนต์ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


แอร์รถไม่เย็นสังเกตได้ด้วยตัวเอง

วิธีการง่ายๆ ในการตรวจเช็คแอร์รถยนต์ของเรานั้น เพียงการเปิดแอร์ในรถตามปกติ หรืออาจจะปรับระดับพัดลมที่ประมาณระดับความแรงที่ 3 (ไม่ปรับระดับที่แรงสูงสุด) โดยระดับความเย็นปกติไม่เกินลูกศรชี้ 12 นาฬิกา หากเป็นระบบอัตโนมัติ ก็ให้เปิดแอร์ในระดับความเย็นปกติ 23-25 องศา

จากนั้นให้ใช้มืออังที่บริเวณช่องปรับอากาศว่ารู้สึกถึงความเย็นหรือไม่ สังเกตดูว่าในแต่ละช่องปรับอากาศภายในรถมีช่องใดช่องหนึ่งผิดปกติหรือไม่ หากพบว่าแอร์ไม่เย็นอาจเกิดปัญหาที่ตัวน้ำยาแอร์ก็เป็นได้ หรือในรถบางรุ่นที่มีฮีตเตอร์ควรตรวจเช็คให้ดีว่าคุณได้เปิดให้ช่องปรับอากาศนั้นๆ ปล่อยความเย็นหรือความร้อนออกมา

วิธีการตรวจเช็คแอร์มีหลักง่ายๆ 5 ข้อดังนี้

 1. เช็คน้ำยาแอร์ ในหน้าหนาวเราอาจจะไม่เคยรู้สึกร้อนอะไรมากมายนัก เพราะอากาศภายนอกช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานแอร์ไปส่วนหนึ่ง แต่เมื่อหน้าร้อนคุณจะรู้ได้ทันทีว่าระบบแอร์คุณมีปัญหาหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าช่วงที่กำลังเปลี่ยนฤดูนี้ รถใครเย็นแบบชืดๆ ไม่ฉ่ำ ก็ได้เวลาเปิดฝากระโปรงตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์ การดูระดับน้ำยาแอร์ นั้น คุณสามารถดูได้ที่กรองแอร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณแผงระบายความร้อนทางด้านหน้ารถ โดยกรองแอร์หรือที่บางคนเรียกว่า Dryer นี้จะมีช่องตรวจสอบน้ำยา โดยสังเกตผ่านตาแมวที่เป็นกระจกใส่ว่า ถ้าเราเริ่มเห็นฟองอากาศ แสดงว่าน้ำยาแอร์เริ่มน้อย กลับกันถ้าน้ำยายังมากกระจกจะค่อนข้างใส ซึ่งโดยปกติแล้วเราต้องเติมน้ำยาแอร์เป็นประจำทุกๆ 2 ปี

2. ตรวจเช็ครอยรั่วของระบบ บางครั้งสาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบเกิดรอยรั่ว ซึ่งโดยทั่วไประบบแอร์จะไม่สามารถรั่วเองได้ เว้นแต่จะมีการสึกหรอของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะแผงระบายอากาศไปจนถึงโอริงตัวเล็กที่ประกบอยู่ระหว่างชุดท่อแอร์ ข้างใน การสังเกตว่าแอร์รถ ของท่านรั่วหรือไม่นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยดูจากรอยรั่วที่น้ำยากระทำต่อนวมแอร์ หรือมีคราบสกปรกในบริเวณต่างๆ ที่ใกล้กับท่อแอร์ ซึ่งคราบเหล่านี้เกิดจากน้ำยาแอร์ แต่กรณีที่รถของท่านเกิดไม่มีรอยน้ำยาเหล่านี้แต่น้ำยาแอร์พร่อง หาย อาจเป็นไปได้ 2 กรณี คือ
              - น้ำยาแอร์ต่ำ
              - อุปกรณ์ในระบบที่ไม่ใช่ชุดท่อแอร์รั่ว ซึ่งเราจำเป็นต้องติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

3. ล้างแอร์ ถ้าคุณคิดว่ารถคุณปกติก็ได้เวลาไปล้างแอร์กัน ปัจจุบันการล้างแอร์นั้น สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ออกมาให้ยุ่งยากวุ่นวาย ซึ่งหากคุณมีโอกาส ค่าใช้จ่ายครั้งละ 1,500 บาทต่อครั้ง อาจจะทำครั้งละ 1 ปี ถือว่าไม่ใช่เงินที่เยอะเลย และนอกจากลมแอร์จะดีขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาสุขภาพของคุณและผู้โดยสารด้วย

 4. ไปล้างรถ หลายคนอาจจะงง มันไปเกี่ยวอะไรกับการล้างรถ แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราแนะ นำให้คุณไปร้านล้างอัดฉีดที่มีเครื่องน้ำพ่นแรงๆ แล้วบอกเน้นย้ำเขาให้จัดการกับแผงระบายความร้อนด้านหน้ารถคุณ ซึ่งทุกวันที่คุณขับ นอกจากเศษฝุ่น คราบใบไม้แล้ว บางทีอาจจะแถมสัตว์ประหลาดมาด้วยนั้น จะถูกหมักความสกปรกไว้ตรงนี้ทั้งหมด ซึ่งการล้างอัดฉีดเป็นวิธีเดียวที่ช่วยได้ และถึงมันไม่เกี่ยวกับระบบปรับอากาศรถยนต์โดยตรง แต่การที่เราขจัดคราบฝุ่น-เศษขยะไปได้ก็ช่วยการระบายความร้อนของน้ำยาดีขึ้น และแน่นอนแอร์เย็นเร็วขึ้นด้วย

5. ไปเยี่ยมร้านแอร์ หลังจากที่เราเสร็จการเช็คด้วยตัวเราเองแล้ว ก็ได้เวลาไปแวะเยี่ยมช่างผู้ชำนาญการ เพื่อ ให้เขาตรวจสอบอีกครั้งเป็นการเช็กซ้ำ เพราะการที่เราเช็คด้วยตัวเองบางครั้งไม่ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทั้งหมด การที่เราเช็คมาก่อนหน้านี้นั้น ช่วยให้เรารู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเข้าร้าน

แล้วมีสาเหตุอะไรบ้าง? ที่ทำให้แอร์รถไม่เย็น

1. พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน ซึ่งสาเหตุที่เกิดขึ้นมีหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น พัดลมแอร์รถอาจจะเสีย รังผึ้งสกปรกมากเกินไป หรือมีอุณหภูมิสูงเกินไป
2. น้ำยาแอร์ขาด สามารถสังเกตได้ที่บริเวณไดเออร์ที่มีลักษณะคล้ายตาแมว เพื่อดูระดับของน้ำยาแอร์ได้ โดยเมื่อเปิดการทำงานกดปุ่ม A/C แล้ว จะเห็นการไหลของน้ำยาแอร์ แสดงว่ายังปกติ แต่หากไม่พบแสดงว่าน้ำยาแอร์หมดแล้วนั้นเอง 
3. คอยล์เย็นรั่ว อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แอร์รถไม่เย็น ส่งผลทำให้น้ำยาแอร์รั่ว การแก้ไขจึงต้องเปลี่ยนคอยล์เย็นใหม่
4. ท่อต่างๆ เกิดการรั่วซึม โดยเฉพาะท่อน้ำยาแอร์ นับเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แอร์รถไม่เย็น หรือเย็นผิดปกติไปจากเคย เราจึงต้องหมั่นสังเกตรอยรั่วของท่อต่างๆ อยู่เสมอ
5. คอมเพรสเซอร์แอร์แบบลูกสูบเสื่อม หรือหมดอายุ ส่งผลทำให้กำลังอัดลดลง น้ำยาแอร์วิ่งได้ไม่เต็มที่ จนทำให้แอร์รถไม่เย็นเหมือนเดิมได้
6. ชุดวาล์วหรือชุดไดเออร์อุดตัน สังเกตได้จากการไหลของระดับน้ำยาแอร์ เมื่อผิดปกติจะพบว่าเกิดฟอง หรือมัวๆ ขึ้นที่จุดนี้
7. หน้าคลัตช์จับไม่สนิทหรือหน้าคลัตช์ลื่น อาจมีสาเหตุมาจากระบบไฟฟ้าทำงานได้ไม่สมบูรณ์ หรือแผ่นหน้าคลัตช์ที่ไม่เรียบนั้นเอง
8. สายพานแอร์หย่อน อาจก่อให้เกิดเสียงดังได้ เราจึงควรต้องตรวจเช็คจุดต่างๆ โดยรอบ เช่นจุดยืดคอมเพรสเซอร์แอร์ว่ามีตำแหน่งชำรุดหรือไม่ด้วย และเมื่อพบความผิดปกติควรรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด

หลากวิธีถนอมแอร์รถยนต์

1. สตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนแล้วจึงค่อยเปิดแอร์ นับเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยถนอมระบบแอร์โดยเฉพาะคอมเพรสเซอร์ หากแต่ว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เป็นระบบ AUTO ก็สามารถที่จะเปิดการทำงานแบบอัตโนมัติได้เลย เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถในแต่ละรุ่น ซึ่งสามารถที่จะเปิดระบบปรับอากาศอัตโนมัติไว้ได้เลยไม่ต้องคอยเปิด-ปิด
2. ปรับระดับของพัดลมและความเย็นให้สัมพันธ์กันในรุ่นแอร์ปกติไม่ใช่ระบบ AUTO ซึ่งหากปรับระดับพัดลมต่ำ แต่น้ำยาแอร์สูง จะสังเกตเห็นได้ว่ามีไอเย็นออกมา ซึ่งอาจส่งผลทำให้ระบบแอร์เป็นน้ำแข็งภายใน นำไปสู่ความเสียหายของแอร์ในรถได้
3. ปิดกระจกให้สนิทลดภาระในการทำงานหนักของระบบแอร์ และอาจก่อให้เกิดไอน้ำขึ้นในช่องแอร์ได้
4. ปิดสวิทซ์ A/C ก่อนดับเครื่องยนต์จอดรถประมาณ 3 นาที พร้อมกับการเปิดระดับพัดลมแรงสุด เพื่อเป็นการไล่น้ำในช่องแอร์นั้นเอง

การทำความสะอาดล้างแอร์รถยนต์ เป็นการล้างแอร์เพื่อเอาสิ่งสกปรกต่างๆ ในระบบออก สามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีการหลักๆ ได้ดังนี้

1. ล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้แอร์ จะเป็นการตรวจสอบเข้าไปหลังแผงคอยล์เย็นด้วยกล้อง จากนั้นจะใช้ท่อแรงดันสูงฉีดน้ำเพื่อทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ให้หลุดออกจากแผง หลังจากนั้นจะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดฉีดเข้าไปทิ้งไว้เพื่อละลายคราบสกปรก และต่อด้วยการฉีดล้างออกมาอีกครั้ง ระดับความสะอาดจะน้อยกว่าแบบถอดตู้แอร์ แต่ใช้เวลาสั้น ค่าใช้จ่ายถูกกว่า และค่อนข้างสะดวกกว่า

2. ล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้แอร์ เป็นวิธีการที่สามารถล้างแอร์ได้สะอาดที่สุด แต่ต้องมีการรื้อชิ้นส่วนต่างๆ ในรถ รวมไปถึงคอนโซลหน้ารถออกมา จึงจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้บริการร้านที่น่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ เพราะการรื้อคอนโซลอย่างไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้

แอร์รถจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และเราควรต้องหมั่นสังเกตและดูแลแอร์รถยนต์อยู่เสมอ รวมไปถึงการเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุกๆ 10,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 6 เดือน และควรล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการบำรุงรักษาและทำความสะอาดระบบแอร์ให้พร้อมใช้งาน ช่วยลดความเสี่ยงที่แอร์รถจะไม่เย็นได้ ซึ่งเราอาจเพิ่มอากาศที่บริสุทธิ์ภายในห้องโดยสารได้ด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในรถเข้าไปเพิ่มเติม เพราะเมื่อบรรยากาศในรถดีแล้ว ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารก็จะมีความสุขได้ตลอดการเดินทาง...